インバウンドでタイ人を集客! 事例多数で万全の用意 [PR]
ナムジャイブログ

本広告は、一定期間更新の無いブログにのみ表示されます。
ブログ更新が行われると本広告は非表示となります。

Movies & Drama

"คิดว่าความกลัว จะทำให้คนเราทำอะไรได้มากแค่ไหน?"

เดินออกจากโรงปุ๊บ เราก็ได้คำตอบ♪


Train to Busan (2016) เป็นหนังที่ปักหมุดไว้ว่าจะดูตั้งแต่รู้ว่าพี่กงยูรับบทนำเลยค่ะ ㅋㅋ แล้วพอรู้ว่าไปสร้างความฮือฮาในงานภาพยนตร์ที่เมืองคานส์ครั้งล่าสุดจนได้รับเสียงปรบมือกึกก้องดังทั่วโรง แถมยังทุบสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศเกาหลี กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้เปิดตัววันแรกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วย ก็ยิ่งกระตุ้นต่อมอยากขึ้นไปอีก...

เรื่องราวเล่าถึงการเดินทางของสองพ่อลูก ซอกวู และ ซูอา ที่ต้องโดยสารรถไฟขบวนด่วน KTX จากกรุงโซล เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองปูซาน แต่ระหว่างทางกลับต้องเจอเหตุการณ์ระทึกขวัญ เพราะทันทีที่รถไฟเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา ผู้โดยสารทั้งหมดก็ต้องดิ้นรนหาทางเอาตัวรอดจากฝูงซอมบี้คลั่งที่กำลังไล่ล่าพวกเขาจากโบกี้สู่โบกี้อย่างไม่ลดละตลอดทุกนาทีของเส้นทาง 330 กิโลเมตรจากกรุงโซลมุ่งสู่ปูซาน!!!!


ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ค่อยชอบหนังแนวซอมบี้ ระทึกขวัญ อะไรแบบนี้เท่าไหร่ แต่พอมาเป็นเรื่องนี้ ความรู้สึกที่ได้กลับตรงกันข้าม มันขยี้ใจ บดทุกความรู้สึก จนซอมบี้ที่ตอนแรกคิดว่าจะติดตากลับไม่ใช่ประเด็นหลักที่นึกถึงเลย


เราชอบ...ที่หนังเรื่องนี้เปิดโปงความเป็นมนุษย์ออกมาได้สุดมากกกก เราได้เห็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ในมุมที่เลวร้ายที่สุด แต่ในขณะเดียวกันเราก็ได้เห็นความรักและความเสียสละที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำเพื่อครอบครัวได้

เราชอบ...ที่หนังเรื่องนี้แอบจิกกัดสังคมทุนนิยมยุคใหม่ ทำให้เห็นว่าบางทีคนที่เรามองว่าเขาต่ำต้อยและไม่น่าคบหา อาจมีจิตใจสูงส่งกว่าคนที่เราเทิดทูนเขาด้วยเงินทองและตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตเสียอีก

เราชอบ...ที่หนังเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าปัญหาเล็กๆ ที่เกิดขึ้นก็เหมือนโรคซอมบี้ระบาด ตอนแรกเราอาจคิดว่า "แค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอก" จนกระทั่งมันลุกลามนั่นแหละ เราถึงนึกออกว่าปัญหาเล็กๆ นั้นก็สามารถกลายเป็นปัญหาใหญ่ และย้อนกลับมาทำร้ายเราได้เหมือนกัน

และสุดท้าย
เราชอบ...ที่หนังเรื่องนี้เค้นความรู้สึกบีบคั้น อึดอัด กดดันของเราออกมา ผ่านแต่ละฉากแต่ละตอนที่เรียกได้ว่าลุ้นระทึกกันจนเหนื่อย ทำให้อยู่ๆ น้ำตาเราก็ไหล รู้สึกปวดหัวใจจนถังป็อปคอร์นในมือยับยู่ยี่ ไม่เคยรู้สึกดูหนังเรื่องไหนแล้วประทับใจจนอยากลุกขึ้นปรบมือให้มานานแล้ว ดีงามมากจริงๆ


ตอนนี้ก็ยังรู้สึกอยากดูอีกรอบ เป็น 2 ชั่วโมงที่เวลาผ่านไปเร็วมากจนแทบไม่มีเวลาให้หายใจเลยล่ะค่ะ

#หนังดีอยากให้ดู ダブルハート

Movies & Drama

หนังอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจที่อยากแนะนำวันนี้มีชื่อว่า View From The Top หรือที่แปลเป็นภาษาไทยแล้วก็คือ นางฟ้าตะลอนฝัน♪


View From Top (2003) เป็นเรื่องราวของดอนนา หญิงสาวที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ว่าอยากจะแอร์โฮสเตส ในเรื่องก็จะบอกเล่าเรื่องราวกว่าจะเป็นแอร์ ตั้งแต่การสมัครสอบ การฝึกเทรนนิ่ง ไปจนถึงการแข่งขันเพื่อก้าวขึ้นไปสู่การบริการในชั้นเฟิร์สคลาสที่เข้าร่ำลือกันว่าถ้าได้เป็นแล้วชีวิตจะดี






ดอนนาทั้งขยัน ฝึกซ้อม และเป็นหนึ่งในตัวเต็งอันดับต้นๆ เลยที่ยังไงก็ได้ขึ้นบินในเที่ยวบินระหว่างประเทศแน่นอน แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตไม่เคยคาดเดาอะไรได้ เพราะอยู่ๆ ดอนนาก็ทำได้แค่บินในเที่ยวบินภายในประเทศเท่านั้น


ข้อดีของการผิดหวังในครั้งนี้ทำให้ดอนนาหันกลับมามองชีวิตตัวเองอีกครั้ง แล้วในที่สุดเธอก็ได้ค้นพบความหมายว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคนเราไม่ใช่เงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศ หรือหน้าที่การงานตำแหน่งสูงๆ แต่ครอบครัวที่พร้อมจะให้กำลังใจเธอต่างหากเป็นสิ่งเธอต้องการมากที่สุด

หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราดูบ่อยมาก เพราะเป็นหนังแนว Feel Good ดูเพลินๆ ได้เติมฝันในแบบที่ชอบ ในชีวิตคนเราจะมีอะไรสำคัญไปกว่าครอบครัวและคนรักที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเราล่ะคะ จริงมั้ย? ダブルハート

Movies & Drama

ในบรรดาแอนิเมชั่นจากค่ายพิกซาร์และวอลดิสนีย์ เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่เราชอบมากที่สุด นั่นก็คือ Monster University หนังภาคต่อของ Monster Inc. ที่เคยโด่งดังมาแล้วก่อนหน้านี้

Monster University (2013) เป็นเรื่องราวก่อนหน้าที่ซัลลี่กับไมค์และเพื่อนๆ มอนส์เตอร์จะเข้ามาทำงานในบริษัทรับจ้างหลอนอย่าง Monster Inc. พวกเขาเจอกันในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งแต่ละคนก็มีบุคลิกและความฝันวัยเรียนที่แตกต่างกัน


ซัลลี่ เป็นหมียักษ์สีฟ้าที่น่าเกรงขาม เขาเป็นดาวเด่นที่ป๊อปปูล่าสุดๆ ตอนเรียน


ส่วน ไมค์ เป็นมอนส์เตอร์ตัวจิ๋วที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักหลอน เวลาเข้าเรียนวิชาเอกนักหลอนที่เขาเลือก เขาจึงเหมือนเป็นเด็กที่อยู่ในระดับอ่อนสุดในคลาส


สิ่งที่เราชอบที่สุดในภาคนี้คือความพยายามของไมค์ แม้จะรู้ว่าไม่สามารถเป็นนักหลอนได้จากลักษณะทางกายภาพที่ตลกมากกว่าน่ากลัว แต่เขาก็พยายามฝึกฝนจนในที่สุดก็ก้าวเข้ามาอยู่ในระดับนักเรียนหัวกะทิของคลาสได้


อ้อ! แมสเซจในหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ความพยายามอย่างเดียวนะ แต่ยังมีเรื่องของมิตรภาพความเป็นเพื่อนให้เราได้อบอุ่นใจเบาๆ ระหว่างที่หนังกำลังดำเนินเรื่องไปด้วย เป็นหนัง Feel Good อีกเรื่องที่ดูได้เรื่อยๆ จริงๆ

แหม่ นึกแล้วก็อยากดูอีกเลย สงสัยเสาร์อาทิตย์นี้คงต้องจัดอีกสักรอบแล้วล่ะ ♪

#หนังดีอยากให้ดู ダブルハート

Movies & Drama

วันนี้มาแนวหวานๆ 5555 ขอข้ามฝั่งตะวันมาแนะนำหนังฝั่งตะวันออกจากแดนกิมจิกันบ้างนะ หนังเรื่องนี้มีชื่อว่า Architecture 101 ชื่อภาษาไทยก็คือ รักแรกในความทรงจำ หนังรักแห่งปี 2012 ที่ประสบความสำเร็จมากๆ ในประเทศเกาหลีใต้


Architecture 101 (2012) ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นหนังรักแล้วก็เป็นรักแรกด้วย เรื่องนี้จะเล่าถึงความรักสมัยเรียนของซึงมินกับซอยอนที่ไม่สมหวังในอดีต แต่อยู่ๆ วันหนึ่งโชคชะตาก็ทำให้พวกเขากลับมาเจอกัน โดยซึงมินต้องรับหน้าที่เป็นสถาปนิกรับออกแบบบ้านให้กับซอยอนรักแรกของเขา




เรื่องราวก็เริ่มต้นจากตรงนี้แหละค่ะ ระหว่างที่บ้านหลังหนึ่งกำลังก่อสร้างขึ้น เรื่องราวความรักความผูกพันเก่าๆ ในอดีตก็ย้อนกลับมาหาซึงมินกับซอยอนด้วยเช่นกัน


หนังพยายามถ่ายทอดให้เห็นเห็นว่าแม้ซึงมินกับซอยอนจะรู้สึกดีและมีความสุขมากแค่ไหนที่ได้กลับมาเจอกันหลังเวลาผ่านไปเกือบยี่สิบปี แต่เวลา ณ ตอนนั้นที่พวกเขาพยายามจะย้อนกลับไปมันได้ผ่านไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือปัจจุบันที่อยู่ตรงหน้าพวกเขามากกว่า


ตรงนี้แหละค่ะที่เราชอบและทำให้หันกลับมามองตัวเอง พยายามทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตัวเองตอนนี้ให้ดีที่สุด เพื่อนๆ ก็เหมือนกันนะคะ อดีตเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรมันได้ ทำได้อย่างเดียวคือคิดถึง คิดถึงและมีความสุขกับมันเท่านั้นจริงๆ ค่ะ

#หนังดีอยากให้ดู ダブルハート

Movies & Drama

สืบเนื่องจากเมื่อวานไปทำบุญที่วัดใหญ่สว่างอารมณ์ (วัดโกลเด้น) มาค่ะ ได้ไปเห็นน้องหมาโกลเด้นอยู่กันเป็นฝูงก็เลยคิดถึงหนังเรื่องนี้ขึ้นมา ชื่อเรื่องว่า Air Budダブルハート

หนังเรื่อง Air Bud เป็นเรื่องราวของน้องหมาโกลเด้นชื่อบัดดี้ที่เล่นกีฬาเก่งมากๆ คล้ายๆ หนังซีรี่ย์ค่ะ แต่ละภาคก็จะเล่นกีฬาต่างชนิดกันไป ถ้าเป็น Air Bud เลยเนี่ยมีทั้งหมด 5 ภาค ส่วนที่เหลือ Air Buddies รุ่นลูกของ Air Bud ค่ะ ในส่วนของบล็อควันนี้เราจะมาพูดถึงแค่ Air Bud นะคะ อย่างที่บอกว่ามีด้วยกันทั้งหมด 5 ภาค ประกอบไปด้วย
- Air Bud (1997) – Basketball
- Air Bud: Golden Receiver (1998)
- Air Bud: World Pup (2000)
- Air Bud: Seventh Inning Fetch (2002)
- Air Bud: Spikes Back (2003)



เริ่มกันที่ภาคแรกนะคะ Air Bud (1997) อันนี้เป็นปฐมบทของเรื่องราวค่ะ ตั้งแต่ตอนที่บัดดี้เข้ามาอยู่กับครอบครัวของจอร์ช เด็กหนุ่มที่เก็บบัดดี้มาเลี้ยง จนกระทั่งความชอบเล่นลูกบอลของบัดดี้ทำให้มันก้าวเข้าไปสู่การเป็นหนึ่งในนักบาสเก็ตบอลประจำทีมโรงเรียน เราว่าในบรรดาทุกตอน ตอนนี้เรียกน้ำตาที่สุดค่ะ


ต่อกันที่ภาคสองนะคะ Air Bud: Golden Receiver (1998) ตอนนี้จอร์ชเริ่มโตขึ้นมาอีกหน่อยแล้วก็เริ่มหันมาเล่นรักบี้ค่ะ แน่นอนว่าบัดดี้เองก็เข้าร่วมด้วย และก็ได้เป็นนักกีฬาทีมรักบี้สี่ขาตัวแรกจริงๆ


ภาคสาม Air Bud: World Pup (2000) ภาคนี้จอร์ชอยู่ไฮสคูลแล้วค่ะ ส่วนบัดดี้ในภาคนี้ก็จะกลายเป็นพ่อแล้ว แก่ขึ้นมาหน่อย แต่ทักษะในการเล่นกีฬายังยอดเยี่ยมเหมือนเดิม ปีนี้พวกเขาพากันเข้าทีมฟุตบอลและชนะเลิศไปแบบสวยๆ อีกเช่นเคย555


ภาคสี่ Air Bud: Seventh Inning Fetch (2002) ภาคนี้บัดดี้ผันตัวเองไปเป็นนักเบสบอลค่ะ


และภาคห้า Air Bud: Spikes Back (2003) ภาคนี้เป็นบัดดี้ภาคสุดท้ายแล้ว กีฬาส่งท้ายคือวอลเล่ย์บอลค่ะ แต่คนที่พาบัดดี้เข้าร่วมทีมไม่ใช่จอร์ชแล้วนะคะ (รายนั้นย้ายเข้ามหาวิทยาลัยเลยไม่ค่อยได้เห็นในหนังแล้ว) แต่เป็นแอนเดรีย น้องสาวสุดสวยของจอร์ช ที่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ไฮสคูล และเช่นเคยบัดดี้พาทีมชนะจนไปแข่งระดับชาติได้อีกแล้ว

ไม่อยากจะบอกเลยว่าเราดูหนังซีรี่ย์ชุดนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบมากค่ะ มันไม่ใช่เป็นแค่เรื่องราวของหมาเล่นกีฬา แต่สำหรับเรามันคือหนังครอบครัวที่บอกเล่าผ่านครอบครัวหนึ่ง แล้วในแต่ละภาคเราจะค่อยๆ เห็นพวกเขาเติบโต เห็นจอร์ชกับแอนเดรียโตขึ้น เห็นแม่ของสองพี่น้องแต่งงานใหม่ เห็นความผูกพันที่ค่อยๆ เกิดขึ้นของคนในครอบครัว

เราคิดว่าหนังเรื่องเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อบอุ่นหัวใจมากๆ ก็เลยอยากมาแนะนำให้ลองดูกันค่ะ

#หนังดีอยากให้ดู ダブルハート

Movies & Drama

หนังที่จะนำเสนอวันนี้เป็นหนังในดวงใจของเราค่ะ มีชื่อเรื่องว่า Love, Rosie icon06


Love, Rosie (2014) เป็นหนังประเภทรอมคอม นำแสดงโดยพี่แซม คลาฟลินสุดหล่อกับนางเอกสาวสวยขวัญใจหนุ่มๆ ลิลลี่ คอลลินส์ เป็นเรื่องราวความรักของสองเพื่อนซี้ อเล็กซ์ และ โรซี่ ค่ะ ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก บ้านอยู่ใกล้กัน เรียนที่เดียวกัน เรียกได้ว่าเป็นคู่หูที่รู้ใจกันที่สุด ไปไหนไปด้วยกันเสมอ จนกระทั่งวันที่ทั้งคู่อายุครบ 18 ปี...




เวลานั้นเป็นช่วงกำลังจะจบไฮสคูลประกอบกับอเล็กซ์ก็มีแฟน โรซี่ก็มีคนควง สองเพื่อนซี้เลยต้องค่อยๆ ห่างกันไปตามระเบียบ จนกระทั่งเรียนจบสองเพื่อนซี้ก็นัดแนะวางแผนกันว่าจะไปเรียนต่อที่อเมริกา (อเล็กซ์กับโรซี่เป็นคนไอริช) ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี อเล็กซ์สอบติดฮาร์วาร์ด โรซี่สอบเข้าเรียนที่บอสตันได้ แต่ทว่าก่อนวันเดินทางไม่กี่วัน โรซี่ก็รู้ตัวว่าท้อง เธอตัดสินใจปิดบังอเล็กซ์และปล่อยให้เขาไปเรียนต่อคนเดียว ส่วนตัวเธอก็ต้องเริ่มต้นการเป็นคุณแม่มือใหม่



หลังจากนั้นชีวิตของโรซี่และอเล็กซ์ก็เหมือนเดินไปตามเส้นของโชคชะตา เหมือนเป็นคู่ที่คลาดกันอยู่ตลอดเวลา ไม่บรรจบกันเสียทีจนต่างคนต่างอายุมากขึ้น มีครอบครัว มีการมีงาน มีความสูญเสีย แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปก็คือความเป็นเพื่อนที่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพวกเขาก็ยังคงอยู่เคียงข้างกันเสมอ


สิ่งที่เราประทับใจในหนังเรื่องนี้ก็คือมิตรภาพของอเล็กซ์กับโรซี่ค่ะ หลายๆ ฉากที่เป็นแค่เรื่องธรรมดา ประโยคธรรมดา ที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตเราเมื่อไหร่ก็ได้กลับทำให้เราน้ำตาซึม โดยเฉพาะฉากและประโยคนี้ที่โรซี่กล่าวอวยพรในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งอเล็กซ์ ♪

"Sometimes you don’t see that the best thing that’s ever happened to you is sitting there, right under your nose. But that’s fine too, it really is. Because I’ve realized that no matter where you are, or what you’re doing, or who you’re with, I will always, honestly, truly, completely, love you."

ค่ะ
#หนังดีอยากให้ดู ダブルハート

Movies & Drama

หนังที่จะนำเสนอวันนี้ก็คือ....แต่น แต๊นน Legally Blonde สาวบลอนด์หัวใจดี๊ด๊า ピカリ


เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เราโปรดปรานมากๆ เลย ถึงชองหนังจะเป็นรอมคอมแล้วก็หวานแหววนะ แต่ขอบอกเลยว่าเนื้อเรื่องให้อะไรมากกว่านั้น ♪

Legally Blonde (2001) ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าตัวเอกเป็นสาวบลอนด์ เธอชื่อแอล วูดค่ะ เธอเป็นคนสวย เก่ง เพื่อนฝูงเยอะ บ้านก็รวย เรียกได้ว่าชีวิตดี๊ดี แต่ ในแง่มุมหนึ่งของสังคมอเมริกัน (ที่แปลความได้จากในหนัง) เขาจะมองว่าสาวบลอนด์เป็นบาร์บี้เกิร์ล รักสนุก รักการแต่งตัว เฮฮาปาร์ตี้ เที่ยวเล่นไปวันๆ ไม่เอาจริงเอาจัง...




ทีนี้ตัวแอล วูดมีแฟนคนหนึ่งค่ะ แต่เขาเป็นพวกผมสีน้ำตาลที่มีชาติตระกูลดี พ่อแม่ญาติพี่น้องเรียนพวกกฏหมายในมหาวิทยาลัยระดับท็อปกันหมด แน่นอนเขาก็มองว่าแอล วูดเป็นบาร์บี้ เกิร์ลที่ไว้ควงเล่นๆ เท่านั้น พอที่บ้านติติงมาเขาก็เลยขอเลิกกับแอล วูดโดยให้เหตุผลว่าจะไปเรียนต่อกฎหมายที่ฮาร์วาร์ด ไม่มีเวลาจะมาเที่ยวเล่นด้วยแล้ว...


แอล วูด เสียใจมาก แต่ก็ยังสู้นะ คือเธอพยายามถามตัวเองว่าผิดอะไร พอได้คำตอบว่า "อ๋อ! เพราะฉันเป็นบลอนด์ ฉันร่าเริงเกินไป ฉันต้องทำตัวให้จริงจังให้คู่ควรกับเขา" เธอก็เลยมุมานะทำทุกอย่างจนสอบติดฮาร์วาร์ดและไปเรียนกับแฟนเก่าจนได้


เรื่องเหมือนจะจบ แต่ไม่จบค่ะ เพราะสุดท้ายแล้วแอล วูดก็พบว่าการสูญเสียความเป็นตัวเองเพื่อคนอื่นที่ไม่เห็นคุณค่าของเราไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเราไม่รู้จักศรัทธาในคนอื่น ไม่ศรัทธาในตัวเอง ไม่เป็นตัวเองในแบบที่ตัวเองเป็น แล้วเราจะค้นพบความสุขได้ยังไง?


คนเราทุกคนทำได้ทุกอย่างตามวิถีทางในแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะมีผมสีอะไร แต่งตัวแบบไหน นิสัยส่วนตัวเป็นยังไง ถ้ามีความตั้งใจจริง มุมานะ อะไรก็ตามก็มาขวางทางสำเร็จของเราไม่ได้

เหมือนประโยคที่แอล วูดพูดตอนจบของหนังว่า...

"You must always have faith in people. And most importantly, you must always have faith in yourself"

#หนังดีอยากให้ดู ダブルハート

Movies & Drama

แนะนำหนังสะท้อนสังคมที่แสนจะสะเทือนใจกันหน่อยดีกว่า เรื่องนี้เป็นหนังค่อนข้างจะนานแล้ว ออกฉายครั้งแรกประมาณปี 2008 ชื่อเรื่องว่า The Boy in the Striped Pyjamas


The Boy in the Striped Pyjamas (2008) เป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายขายดีของอังกฤษค่ะ เรื่องราวในหนังไม่ได้แตกต่างจากในหนังสือมากนัก เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยที่นาซีครองอำนาจ

เรื่องนี้จะแตกต่างกับแอน แฟรงค์ตรงที่จะเล่าเรื่องผ่านมุมมองของฝ่ายนาซี แต่เป็นมุมมองของเด็กชายอายุ 8 ขวบ ลูกชายคนเดียวของทหารชาวเยอรมันที่ได้รับมอบหมายให้มาคุมค่ายกักกัน

ด้วยความเป็นเด็กแล้วต้องย้ายบ้านมาอยู่นอกเมือง เด็กชายคนนี้ก็เลยไม่มีเพื่อนฝูง ออกไปข้างนอกก็ไม่ได้เพราะเพื่อนบ้านหนึ่งเดียวในละแวกนั้นก็มีแต่ชาวยิวในค่ายกักกันเท่านั้น แน่นอนว่าพ่อแม่ก็ต้องไม่ให้ออกไปอยู่แล้วล่ะนะ แต่เด็กก็คือเด็ก เขาสงสัยเสมอแหละว่าทำไมชาวยิวพวกนั้นถึงเป็นเพื่อนกับเราชาวเยอรมันไม่ได้ ทั้งๆ ที่ก็คนเหมือนกัน?

ทีนี้วันหนึ่งเด็กชายคนนี้แอบหนีออกไปนอกบ้านค่ะ แล้วเขาได้ก็พบกับเด็กชายชาวยิวคนหนึ่งที่อีกฝั่งนอกรั้วบ้าน พอเจอเด็กที่อายุเท่าๆ กัน พูดคุยภาษาเดียวกัน มิตรภาพมันก็เกิด แม้ว่าจะเป็นการคุยกันผ่านรั้วไฟฟ้าที่กั้นไว้ก็เถอะ




ถ้ามีโอกาสได้ดูแล้วลองนึกภาพย้อนกลับไปที่เหตุการณ์วันนั้นนะคะ บทสรุปสุดท้ายของมันคือการที่ฝ่ายนาซีเริ่มสังหารหมู่ชาวยิวก่อนที่ทหารอเมริกันจะมาช่วยไว้ได้ทัน...


หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดมิตรภาพเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเด็กสองคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ออกมาได้อบอุ่น แต่ในขณะเดียวกันก็เศร้าจับจิตเลยค่ะ

ฉากที่เราชอบที่สุดของหนังเรื่องนี้คือตอนที่เด็กชายสองคนนั่งคุยกัน มีรั้วไฟฟ้ากั้นอยู่ เด็กชายนาซีชวนเด็กชายชาวยิวออกมาเล่นด้วยกัน แต่เด็กชายชาวยิวกลับปฏิเสธและบอกว่าเขาออกไปไม่ได้...

A: ทำไมเขาถึงไม่ให้เธอออกมา เธอทำผิดอะไรเหรอ?
B: เพราะฉันเป็นยิว


...
#หนังดีอยากให้ดู ダブルハート
Information

タイのブログサイト「ナムジャイブログ」でブログを作る! タイのブログサイト「ナムジャイブログ」にログインする!

初めてのタイへの旅の不安を解決
海外進出を手厚くサポートします
< 2024年04月 >
S M T W T F S
  1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30        
QRコード
QRCODE
※カテゴリー別のRSSです
アクセスカウンタ
読者登録
メールアドレスを入力して登録する事で、このブログの新着エントリーをメールでお届けいたします。解除は→こちら
現在の読者数 43人
プロフィール
Waew
Waew
わたしは日本のかいしゃいんです。